ปากท้องญาติพี่น้องถูกประหารด้วยเทคโนโลยี

ปัจจุบันด้วยเทคโนโลยีที่ทันระยะเวลามากขึ้น ทำให้สมาร์ทโฟนกลายมาเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบัน ทำให้ส่งผลไปถึงพฤติกรรมในการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยเช่นกัน

ซึ่งวันนี้เราก็ได้หยิบเอาอีกหนึ่งตัวอย่างการใช้ชีวิตในแต่ละวัน ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพของ คุณ สมาชิกหมายเลข 1950451 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ที่เกิดเหตุการณ์กับตัวเองมาฝากกัน

สวัสดีครับ ก่อนจะเล่าเรื่องราวของครอบครัวผม ก่อนอื่นขอทำความเข้าใจก่อนซักนิดครับ

- ผมเป็นคนที่ใช้ Pantip เป็นประจำ แต่ล็อคอินนี้ผมสมัครใหม่ ก็เพราะว่าไม่ตะกลามให้ใครรู้จักตัวแท้ครับ
- จนกระทั่งผมโพสต์แล้ว ล็อคอินนี้ผมจะไม่กลับมาใช้อีก ดังนั้นผมจึงไม่ขอตอบอะไรทั้งสิ้นครับ
- ข้อมูลบางอย่างที่เป็น Fact ผมอาจขอปรับบ้าง เช่นถ้าผมกราบทูลว่าผมสูง 170 ข้อมูลแท้อาจเป็น 185 เพื่อไม่ให้คนที่รู้จักตัวผมมาอ่านแล้วรู้ว่าเป็นผม แต่เรื่องราวทั้งหมด จักยังคงอยู่ตามเดิม
- อ่านให้เป็นนิยายแล้วกันครับ ผมแค่หมายระบายเท่านั้นเอง

ถ้าเข้าใจตรงกันแล้ว ขอตั้งต้นเลยก็แล้วกันครับ

ผมกับแฟน คบกันมาตั้งแต่เรียนปี 2 คบกันมาเรื่อยๆจนเรียนจบ ต่างคนต่างทำงานได้ซัก 3-4 ปี ก็ตกลงใจแต่งงานกัน โดยผมเองยอมรับเพราะว่าตรงว่า ผมมีความสัมพันธ์แบบลึกซึ้งกับเค้าเป็นคนแรก ถึงแม้จะเคยมีแฟนมาก่อนก็ตาม ด้วยกันผมก็มั่นใจว่า ผมก็เป็นคนแรกของแฟนผมเช่นกัน

ผมรักเค้ามากครับ รักจนอาจยอมได้ทุกอย่าง ก็เพราะว่าเค้าเป็นคนดีมากนักๆ ช่วงชีวิตตกต่ำของผมจะมีขนาดไหน เค้าก็อยู่กับผมตลอด ผมจึงต้องพยายามทำทุกอย่างให้เค้ามีความสุข ผมแต่งกับเค้าได้เกือบๆ 2 ปี ก็ตั้งต้นมีลูกคนแรก ชีวิตก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะชีวิต Sex ของเราขึ้นต้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย เพราะแฟนผมเค้ามีความต้องการน้อยลง เวลาผมต้องการเค้าจะไม่ยอมตลอด

ช่วงนั้นมีประมาณเดือนละครั้งเอง ผมก็ยอมเค้า เวลาผมมีอารมณ์ ก็เลือกวิธีการช่วยตัวเอง ก็เพราะว่าคิดว่าเค้าคงเหนื่อยกับงานด้วยกันการเลี้ยงลูก เลยไม่ทะเยอทะยานให้เค้าหงุดหงิดอีกครับ

พอลูกตั้งต้นโตใกล้เข้าโรงเรียน ผมกับเค้าก็ซื้อ iPhone4 กันคนละเครื่อง โดยที่ไม่เคยรู้เลยว่า มันจักเป็นสาเหตุที่ทำให้ชีวิตครอบครัวผมพังได้ ผมใช้มากันได้ซักพัก มันก็มีแอพ Find my iPhone ออกมา ผมก็จัดการลงแอพนี้ไว้ทั้ง 2 เครื่องโดยที่แฟนผมไม่รู้ พร้อมทั้งที่สำคัญ เค้าเป็นคนไม่ค่อยถนัดเรื่องพวกนี้เลย แอคเค้าท์ต่างๆ ไม่ว่าจักเป็น Facebook, Line หรือไม่ก็ Apple ID ผมจัดการให้หมด ขนาด Password เองเค้ายังไม่รู้เลยครับ ซึ่งหมายความว่า ถ้าผมหวังรู้ครั้นไหร่ว่าแฟนผมอยู่ที่ไหน ผมก็เปิด Find my iPhone แล้ว Login เครื่องเค้า ผมก็รู้ทันทีว่าอยู่ที่ไหนครับ

อีกไม่กี่ปีต่อมา ผมก็มีลูกกันอีกคน แล้วแฟนผมก็ทำหมันเลย เพราะเราคิดกันว่ามีแค่ 2 คนก็พอแล้วด้วยรายได้ของเรา 2 คน ชีวิตรักพร้อมกับชีวิตครอบครัวก็ดูจักสมบูรณ์ขึ้น แต่ละวันผมมีความสุขมากครับ ก็เพราะว่าลูกทั้ง 2 คนก็น่ารัก กับกับแฟนก็รักกันดีตลอด ถึงแม้จะทะเลาะกันบ้าง แต่ก็ผลัดกันง้อมาเรื่อย จนทำให้ผมคิดว่าในโลกนี้คงไม่มีใครมีความสุขกว่าผมได้อีกแล้วครับ

แต่กลายเป็นว่า ผมคิดผิดแล้วครับ เริ่มต้นจากหลังคลอด แฟนผมกลับมาเปิดม่านมีอารมณ์มากขึ้น เราก็มี Sex กันได้บ่อยขึ้น จากก่อนหน้านี้เดือนละครั้ง กลายเป็นสัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง กับหลายๆครั้งเค้าเป็นคนเกริ่นก่อนด้วยครับ ก็ดูมีความสุขดี

แต่ช่วงต้นปีนี้ ผมเปลี่ยนงานใหม่เพื่อรับเงินเดือนที่สูงขึ้น เพื่อปรารถนาให้ครอบครัวสบายขึ้น แต่แน่นอนว่าต้องแลกมากับงานที่มากขึ้น กลับบ้านช้ากว่าเดิม บางครั้งถึงบ้านแล้ว พอกล่อมลูกเข้านอนเสร็จ ก็ต้องมานั่งทำงานต่อ เวลาแฟนผมมีอารมณ์ ผมก็มีไม่ได้ เพราะมันเหนื่อยพร้อมด้วยบางครั้งงานก็ไม่เสร็จ เค้าก็หงุดหงิดไปหลายครั้ง แต่ผมก็พยายามปลอบเค้าว่า เพื่ออนาคตของลูกที่ดี ก็ต้องยอมแลกบ้างนะ เค้าก็โอเคเข้าใจดี

มาถึงช่วงกลางปีที่ทะลวงมา ช่วงเกือบบ่ายๆ ผมโทรหาเค้า จักชวนกินข้าวตอนเย็น เพราะงานน่าจักเสร็จเร็ว แต่เค้าไม่รับสาย เลยลอง Login เข้า Find my iPhone เพื่อเช็คว่าเค้าอยู่ที่ไหน เพราะเค้าทำงานเป็น AE หาลูกค้าบ่อยๆ

ปรากฏว่าตำแหน่งของแฟนผม มันไปอยู่ในที่ๆแปลกจากครั้งก่อนๆ ผมก็ดูตำแหน่งแล้วเอาไปเปรียบกับ Google Maps แล้ว มันรายงานว่า เป็นโรงแรมแห่งนึงบนถนนรามคำแหง ผมก็งงว่ามันไปโผล่ตรงนั้นได้ไง คงเป็นก็เพราะว่าแอพจับตำแหน่งผิดมั้ง ซักพักเค้าก็โทรกลับมา บ่งว่าประชุมกับลูกค้าแถวหน้ารามเพิ่งเสร็จ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร ชวนกินข้าวกันตามปกติ แต่ที่แปลกคือ คืนนั้นผมขอเค้ามี Sex ด้วยแต่ถูกไม่ยอมรับ ก็เพราะว่าเค้าแสดงว่าเหนื่อย ผมก็เลยหลับไปแทน

อีกไม่กี่วัน ผมก็ Login เข้า Find my iPhone เพื่อดูอีก ก็เจอไปขึ้นตำแหน่งเดิมอีก แต่ครั้งนี้แปลกใจมาก เพราะปกติแล้วแฟนผมจะไม่พบลูกค้าเจ้าเดิมเกินอาทิตย์ละ 1 ครั้ง ผมก็ริเริ่มคิดเตลิด แล้วตกลงใจขึ้นแท็กซี่ไปที่โรงแรมนั้น จังหวะที่ผมถึงหน้าโรงแรม

สิ่งที่ผมเห็นคือ รถของแฟนผมกำลังเลี้ยวออกมาจากโรงแรมนั้น แต่คนขับเป็นผู้ชาย แล้วมีแฟนผมนั่งข้างๆ ตอนนั้นบอกเล่าตรงๆครับว่าช๊อคมาก ทำอะไรไม่ถูก ลงมายืนแล้วหันกลับไปมองด้วยความงง จนคนขับแท็กซี่ต้องทวงค่ารถจากผม ผมใช้เวลายืนตรงนั้นอยู่นานแค่ไหนไม่รู้

พอตั้งสติได้ผมก็ขึ้นแท็กซี่กลับไปเอารถที่ออฟฟิศแล้วออกจากที่ทำงานไปหานั่งทำใจเลย รู้ตัวอีกทีก็ค่ำ ด้วยกันเลยเวลาปกติที่เข้าบ้านแล้ว ก็เลยกลับบ้าน เค้าถึงบ้านแล้วครับ แวบแรกที่ใคร่ทำตอนนั้นคือ ตะโกรงบีบคอเค้าให้ตายไปเลย แต่พอเห็นหน้าลูกทั้ง 2 คนแล้วก็ตองยับยั้งใจ แล้วก็ทำตัวปกติถัด

หลังจากวันนั้น ผมก็เช็คเค้าทุกวัน แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ เพราะส่วนใหญ่จะอยู่ที่ทำงานเค้าตลอด จนข้ามมาคะเน 1 อาทิตย์ ตอนเช้าที่กำลังออกจากบ้าน เค้าประภาษกับผมว่า วันนี้มีพาลูกค้าไปทานข้าวที่โรงแรมหนึ่งแถวริมแม่น้ำเจ้าพระยา ผมก็สาธยายว่า โอเค จะได้รีบกลับมาช่วยแม่ดูลูก แต่ในใจคิดว่า จะลองตามดูซักครั้ง กะว่าจักให้คาหนังคาเขาเลย แล้วเรา 2 คนก็ต่างออกไปทำงาน พอตกบ่ายผมก็เกริ่นเช็ค Find my iPhone เรื่อยๆ จนซักกะ 5 โมงเย็น ผมก็เห็นเค้าเกริ่นเดินทางออกจากที่ทำงาน ผมก็ตัดสินใจออกจากที่ทำงานเหมือนกัน

เพราะวันนั้นผมขอกู้ยืมรถของน้องที่ทำงานมาใช้ ผมขับมาดักเจอเค้าได้แถวๆ ลาดพร้าว แล้วแอบขับตามเรื่อยๆ จนถึงร้านอาหารหนึ่งบนเส้นรัชดา ผมขับตามไปถึงที่จอดรถ แล้วได้จอดอยู่ห่างเค้าไม่ไกลนัก พอเค้าจอดรถได้ แปปนึง ก็มีผู้ชายคนนึงเดินมาจากไหนไม่รู้ เดินมาหาเค้าที่รถแล้วเดินจับมือกันหายไปในทางเข้าร้านไป

ผมจำได้เลยว่าผู้ชายเป็นรุ่นน้องในคณะเดียวกัน ถ้าผมมีปืนตอนนั้น ผมคงต้องยิงมันตายทั้งคู่แน่นอนครับ แต่ผมอดใจไว้ ทำได้แค่เหมือนถ่ายรูปไว้ก่อน ซักชั่วโมงกว่าๆ เค้าก็เดินจูงมือกลับมาที่รถกันครับ แล้วก็ออกรถไป ผมก็ขับตามอีก แล้วถ่ายรูปไว้เป็นระยะๆ เค้าขับมาไม่ไกลครับ แล้วก็เลี้ยวเข้าม่านรูดแห่งหนึ่งไป

ภาพนี้ทำผมน้ำตาไหลเลยครับ ในชีวิตนี้ผมไม่เคยคิดเลยครับว่า ผมต้องมาถูกคนที่ผมรักที่สุดมาหักหลังแบบนี้ ทั้งเจ็บใจ ทั้งเสียใจ อารมณ์ตอนนั้นแย้มไม่ถูกแท้จริงๆครับ ผมไม่ตะกลามรอต่อแล้ว ก็เลยเอารถกลับไปเปลี่ยนกับน้องที่บ้านเค้าแล้วก็ดิ่งกลับบ้านทันที

ตราบใดถึงบ้านแล้ว ลูกคนเล็กหลับแล้ว แต่คนโตยังไม่หลับ ผมเลยเอาลูกมากล่อมที่ห้องผมเอง (ปกติลูกคนโตจักนอนกับย่า แต่คนเล็กจักนอนกับผมที่ห้อง) พอผมมองหน้าลูกทั้ง 2 คน ผมยิ่งนำตาไหลออกมาอีกครับ ผมสงสารลูก ผมไม่ตะกลามให้ลูกต้องมีครอบครัวที่แตกแยก

แต่ผมเองก็คงอยู่กับคนที่ทำกับผมแบบนี้ไม่ได้อีกแล้ว ตอนนั้นผมสับสนมากเลยครับ ว่าจักทำอย่างไรดี จนลูกถามว่า พ่อร้องไห้ทำไม ผมได้แต่หมายลูกว่าไม่มีอะไร แค่พ่อทำงานเหนื่อยเท่านั้นเอง ผมกล่อมลูกจนหลับแล้วก็นั่งรอเค้ากลับบ้าน

พอเค้าขึ้นถึงบนห้อง ผมก็ทูลเค้าว่าขอคุยกันข้างล่างแปบสิ เค้าก็ตอบแบบอารมณ์เสียว่าไม่ลง จักอาบน้ำนอนแล้ว มีอะไรค่อยคุยพรุ่งนี้ ผมบ่งบอกว่าพรุ่งนี้ไม่ได้ ต้องขณะนี้ ไม่ใคร่ให้ลูกรู้ เค้าก็ไม่ยอมแล้วคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำ

ผมจึงหยิบโทรศัพท์ลงไปข้างล่าง แล้วทยอยส่งรูปที่ผมถ่ายได้ ลงใน Line ของเค้าแล้วเปิดทีวีรอข้างล่าง หลังจากผมได้ยินเสียงเค้าเดินเข้าห้องได้ไม่นาน เค้าก็เดินลงมาพร้อมกับน้ำตา มาถึงตัวผมแล้วก็กอด ร้องไห้พร้อมขอโทษไป อารมณ์ผมตอนนั้นเอิ้นตรงๆว่า มันไม่เหร่ำลือความสงสารแล้วครับ สิ่งที่เค้าทำมันเกินกว่าที่ผมจะทนได้ ผมจึงผลักตัวเค้าออกไป แล้วบ่งว่าผมต้องประสงค์รู้เรื่องทั้งหมด

แฟนผมเค้าเริ่มเล่าว่า เรื่องมันเกินช่วงที่เค้าไป Outing กับบริษัท แล้วช่วงปาร์ตี้ก็ดื่มแล้วเมา แล้วก็เผลอไปมีอะไรกับน้องในเหล่า มันเป็นอารมณ์ชั่ววูบ พร้อมกับใช้คำว่าผมให้เค้าได้ไม่พอ เค้าเลยต้องมีทางออกแบบนี้

จากนั้นเค้าก็ขอโทษแล้วสัญญาว่าจักไม่ทำอีก ผมฟังจบแล้วรู้สึกขยะแขยงมากครับ ผมทำทุกอย่างเพื่อให้ครอบครัวมีความสุข แต่ผลตอบรับกลับมามันช่างไม่สมเหตุผลเลยครับ ผมเลยคุยกับเค้าว่า ผมไม่ยกโทษให้ ก็เพราะว่าผมพูดกับเค้าบ่อยๆตลอดชีวิตคู่ว่า ผมรับได้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องนี้ แต่เค้าก็ยังมาทำอีก

ผมยกโทษให้ไม่ได้จริงๆ ผมก็เจรจาเค้าต่อว่า ผมประสงค์เลิกกับเค้า แต่ผมสงสารลูก ผมจึงขอเค้าว่า ให้เราแสร้งทำเป็นอยู่ด้วยกันตามปกติได้มั้ย ก็เพราะว่าคิดว่าลูกทั้ง 2 ยังเล็กเกินกว่าจักรู้เรื่องแบบนี้ พร้อมกับไม่ประสงค์ให้เค้าขาดคนใดคนหนึ่งไป

เพราะผมจักทนทำเป็นปกติกับเค้าตราบอยู่ต่อหน้าลูก แต่ความแน่นอนแล้วผมจะแยกใช้ชีวิตกับเค้า ส่วนบ้านที่ผ่อนอยู่ด้วยกันค่าใช้จ่ายในบ้าน ผมจะจ่ายไปตามปกติ แต่คราวผ่อนหมดจะใส่เป็นชื่อลูกทั้ง 2 ทันที ค่าใช้จ่ายลูกก็หารครึ่ง และครั้งลูกเข้าถึงมัธยม ถึงจะตัดสินใจแย้มลูกอีกครั้ง เพราะจะทำนูลทีละคน คนโตก็อีกไม่กี่ปี

แต่คนเล็กก็อีกเป็น 10 ปี ซึ่งสนทนาตรงๆครับว่าผมก็ไม่รู้ว่าจะอดทนได้ถึงวันนั้นไม่ใช่หรือเปล่า แต่ผมไม่มีทางกลับไปคืนดีกับเค้าแน่นอนครับ เค้าฟังเสร็จก็จักไม่ยอม พยายามจักง้อผมให้คืนดีให้ได้ ผมจึงพูดกับเค้าว่า ถ้าไม่ตกลง ก็คงต้องพังกันหมดในวันนี้พรุ่งนี้เลย สุดท้ายเค้าจึงยอมครับ

เรื่องนี้เกิดมาเกือบครึ่งปีแล้ว ชีวิตที่ทะลุทะลวงมา คนภายนอกจะเห็นว่าเหมือนเดิมครับ แต่จะมีพ่าง 3 คนในโลกนี้ที่รู้คือ ผม เค้า กับแม่ผมเท่านั้น เพราะผมยังอยู่บ้านเดียวกัน นอนห้องเดียวกัน แต่เค้าจักนอนบนเตียงกับลูกคนเล็ก ส่วนผมปูเบาะนอนข้างล่างข้างเตียง (ลูกคนโตเคยถามว่าทำไมพ่อต้องปูเบาะนอนด้วย ผมตอบเค้าไปว่า น้องนอนดิ้นถีบพ่อบ่อย พ่อเลยต้องลงมานอนข้างล่าง) พาลูกไปเที่ยวตามปกติ ถ่ายรูปตามที่ลูกสั่ง เพื่อให้ทุกอย่างดูปกติที่สุด

วันไหนที่ทนไม่ไหว ก็ไปนั่งคุยกับแม่แล้วร้องไห้ไป ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง ผมไม่เคยเข้าไปดู Find my iPhone อีกเลยครับ เพราะเค้าจะไปไหนก็เป็นเรื่องของเค้า เค้าก็พยายามมาพูดเรื่อยๆว่าไม่ได้ยุ่งกันแล้วนะ บางวันก็พยายามลงมานอนข้างผม ผมก็ลุกหนีลงมานอนชั้นล่าง แรกๆก็เจ็บปวดครับ แต่เวลานี้ความเจ็บปวดเปิดม่านบังตาหายไป กลายเป็นความชินชาแล้วล่ะครับ

ผมก็ถามตัวเองเสมอว่าทำไมเรื่องแบบนี้มันถึงเกิดกับผม เป็นเพราะผมทำงานหนักมากเพื่อแลกกับเงินมากเกินไปหรือเปล่า หรือว่าว่าเทคโนโลยีทำให้ผมต้องเจอกับสิ่งนี้ ถ้าไม่มีมันผมก็คงไม่รู้เรื่องแบบนี้

เค้าเบื่อก็เลิกมาอยู่กับผมเองหรือว่าเปล่า แต่ไม่เคยมีคำตอบครับ ทุกวันนี้คำตอบผมมีอย่างเดียวคือทำอย่างไรก็ได้ให้ลูกทั้งสองของผมมีชีวิตที่สมบูรณ์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ถึงแม้ว่าผมจักเจ็บปวดมากแค่ไหนก็ตาม

ขอบคุณมากครับที่รับฟังการระบายของผม ผมไม่อาจจักให้คนรู้จักรู้เรื่องนี้ได้แน่ๆๆ แต่พอเก็บไว้มันก็อึดอัด การได้พิมพ์ออกมาเป็นตัวหนังสือ ก็ช่วยได้หน่อยนึง ส่วนทุกความเห็นผมขอขอบคุณล่วงหน้าครับ ผมคงได้แต่อ่าน แต่คงไม่ขอตอบอะไรทั้งสิ้นจากที่ได้แจ้งไปข้างต้นครับ

ขอบคุณครับ

ขอบคุณที่มา: คุณ สมาชิกหมายเลข 1950451 สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

ที่มา: http://hitech.sanook.com/1393613

ติดตามข่าวความเคลื่อนไหวของเทคโนโลยีรอบโลกได้ที่นี่ >>> www.hitech.sanook.com